ฟ้าใสหัวใจสวย...ที่สีหนุวิลล์
เรื่องและภาพ โดย นิพนธ์ เรียบเรียง
สีหนุวิลล์ (Sihanoukville) หรือ กัมปงโสม (ก็อมปงโซม) เป็นเมืองชายทะเลยอดนิยมมากที่สุดของประเทศกัมพูชา ห่างจาก กรุงพนมเปญ 246 กิโลเมตร ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ผมเคยเปรียบเปรยให้เพื่อนฝรั่งที่สนใจเดินทางไปเมืองแห่งนี้ว่ามันคือเบฟเวอรีฮิลล์ของกัมพูชานั่นเอง เท่านั้นแหละเสียงอุทาน wow ก็ดังกันลั่น ที่ผมยกตัวอย่างเช่นนั้นก็เนื่องจากที่รู้มาว่าในเมืองชายทะเลแห่งนี้คือบ้านตากอากาศของบรรดาเศรษฐีชาวกัมพูชาด้วยอากาศบริสุทธิ์และทิวทัศน์ที่สวยงาม สีหนุวิลล์มีชายหาดทั้งหมด 5 แห่ง ว่ากันว่าที่สวยที่สุด คือ หาดสุขา และ หาดโอจือเตียล (Occheuteal) ซึ่งติดอันดับ 8 ในการจัดอันดับ 10 สุดยอดหาดในเอเชีย จัดอันดับโดยหนังสือพิมพ์ Sunday Herald Sun ของออสเตรเลีย
ผมเริ่มออกเดินทางด้านอำเภอคลองใหญ่จังหวัดตราดซึ่งเป็นด่านชายแดนไทย - กัมพูชาด้านตะวันออกสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยเพียงแค่แสดงพาสปอร์ตก็สามารถเดินทางข้ามพรมแดนได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการทำวีซ่าแต่อย่างใด เรื่องนี้ทำเอาเพื่อนร่วมทางชาวอิตาเลี่ยนมองผมอย่างอิจฉาเล็กน้อย แผนการเดินทางของเราคือ แวะค้างคืนที่เกาะกงหนึ่งคืน เพื่อรอเรือเที่ยวเช้าประมาณเก้าโมงเดินทางต่อไป
สีหนุวิลล์
เราใช้เวลาเดินสำรวจเมืองปัจจันตคีรีเขตต์ (ชื่อเดิมของเกาะกงที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานไว้ เพื่อให้เป็นเมืองหน้าด่านทางชายฝั่งทะเลตะวันออกของไทย และเหตุที่รัชกาลที่ 4 พระราชทานนามเกาะกงว่า ปัจจันตคิรีเขตต์ ก็เพื่อให้คล้องจองกับชื่อเมืองประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งอยู่ทางด้านภาคตะวันตกของไทยนั่นเอง)
หลังจากพยายามอธิบายกับเพื่อนร่วมทางต่างชาติถึงประวัติศาสตร์ของเมือง ด้วยภาษาอังกฤษระดับที่ฝรั่งต้องทำใจในความกระท่อนกระแท่น เราก็พบที่พักใกล้ๆ กับท่าเรือ เป็นเกสต์เฮ้าส์ ราคาคืนละ 15 ยูเอสดอลล่าร์ (แนะนำว่าควรแลกเงินไปจากเมืองไทยเพื่อความสะดวกหรือจะใช้เงินไทยที่เกาะกงก็ได้)
หลังอาหารเย็นเราออกมาเดินเล่นแถวหน้าโรงแรมคาสิโน แต่ไม่กล้าเข้าไปข้างใน เนื่องจากกลัวว่าจะอดเดินทางไปสีหนุวิลล์เพราะเงินหมดเสียก่อน แสงสียามราตรีของที่นี่ชวนให้นึกถึงลาสเวกัสเลยทีเดียว วันรุ่งขึ้นเราเดินมายังท่าเรืออย่างไม่รีบร้อนนัก เพราะได้ซื้อตั๋วไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อวาน (กันพลาดไว้ก่อน )
แต่จากเกาะกงไปยังสีหนุวิลล์ก็มีรถตู้ให้บริการด้วย โดยใช้เวลาราวสี่ชั่วโมงบนเส้นทางตามไหล่เขา เรือโดยสารขนาดสี่สิบที่นั่งและเบาะที่นั่งของเราก็มีคนมานั่งแล้ว ไปแจ้งกับคนเรือก็ไร้ผล นับเป็นประสบการณ์แรกในทริปนี้ ผมนั่งมองหน้ากับเพื่อนแล้วก็ขนกระเป๋าพร้อมอุปกรณ์ถ่ายภาพไปหาที่นั่งตามอำเภอใจเช่นกัน
เรือออกเกือบตรงเวลาภายในห้องโดยสารติดแอร์ มีการเปิดหนังจากซีดีให้ผู้โดยสารเพลิดเพลิน แต่เราทั้งคู่กลับเพลิดเพลินกับการเดินถ่ายภาพทิวทัศน์ภายนอกมากกว่า เรือมีการแวะรับคนตามท่าต่างๆ คล้ายกับเรือด่วนเจ้าพระยา ต่างกันตรงที่ว่า นี่คือท้องทะเลเท่านั้นเอง ราวสามชั่วโมงครึ่งก็มาถึงท่าเรือสีหนุวิลล์
บนท่ามีโต๊ะเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเพื่อตรวจพาสสปอร์ตของนักท่องเที่ยวอีกครั้ง บรรดาไกด์ส่งเสียงเรียกลูกค้าดังไปทั่ว รวมทั้งเรือรับจ้างพาไปเที่ยวยังเกาะต่างๆ โดยเฉพาะเกาะ Bamboo ที่มีชื่อเสียงด้านความงดงามตามธรรมชาติ เพื่อนผมทำท่าจะติดต่อกับคนเรือทันที เนื่องจากเห็นว่าราคาถูก แต่ผมแย้งว่าเราควรหาที่พักก่อน แล้วเช็คราคากับทางที่พักน่าจะมีข้อมูลที่ดีกว่าตัดสินใจในตอนนี้
จึงเป็นอันว่าเรานั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ตระเวนหาที่พักราคานักแบกเป้ (ที่นี่มีโรงแรมห้าดาวอยู่มาก ราคาเริ่มตั้งแต่คืนละ 25 USD. ซึ่งสำหรับผู้ที่ต้องอยู่ถ่ายภาพเป็นอาทิตย์อย่างผมสองคนคงไม่เหมาะ เราแจ้งความต้องการกับคนขับรถ จึงได้มาลงตัวที่เกสต์เฮ้าส์ริมหาดวิคตอรี ( Vitory Beach ) ที่ตั้งอยู่ในส่วนกลางของชายหาดต่างๆ ในสีหนุวิลล์
ยิ่งนับว่าสะดวกในการเดินทางเก็บภาพ เจ้าของเป็นชาวออสเตรเลียมีความเป็นกันเอง และยิ่งรู้ว่าเรามาถ่ายภาพ ก็ช่วยติดต่อบริษัททัวน์ที่สามารถพาไปยังเกาะและแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในราคาที่ไม่แพงนัก (อาจแพงกว่าราคาที่ท่าเรือแต่ถ้าต้องการความมั่นใจว่า จะไม่มีปัญหาภายหลังควรใช้บริการบริษัททัวน์ดีกว่า) จบเรื่องที่พักและอาบน้ำเรียกความสดชื่นดีแล้ว เราก็ติดต่อมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่เช่าเหมาตลอดวัน ในราคาสิบดอลล่าร์ และคนขับสื่อสารภาษาอังกฤษพอได้ ก็ลุยเลย
จุดแรกเราไปบนยอดเขา เพื่อหามุมสูงถ่ายชายหาดในแบบพานอรามา เนื่องจากอากาศกำลังดีมาก ชายหาดชื่อดังของที่นี่ อย่างหาดโอจือเตียล ทอดตัวยาวสุดสายตาตัดกับทรายขาวละเอียด มุมที่เราอยู่เป็นร้านกาแฟจึงเหมาะกับการจิบกาแฟยามบ่าย พร้อมเก็บภาพชายหาด นึกแล้วยังอิจฉาตัวเองอยู่เลย
ด้วยความที่เป็นเมืองท่า อาหารทะเลที่นี่จึงสดใหม่และตัวใหญ่ ราคาไม่แพง สังเกตจากต้มยำทะเลที่ผมสั่งมาเป็นอาหารเย็นใช้ปูตัวใหญ่ กุ้งสดๆ จากกระชังที่จับจากทะเล ปลากะพงสดนึ่ง มีพริกให้เติมเพิ่มความเผ็ดตามชอบใจ เพราะคนที่นั่นไม่ค่อยกินเผ็ด
ใครที่เป็นนักดื่มก็คงต้องลอง เครื่องดื่มยอดนิยมอย่าง "เบียร์อังกอร์" ที่ตั้งโรงงานผลิตอยู่ในเมืองนี้ รสชาติปานกลางด้วยปริมาณแอลกอฮอล์ 5 เปอร์เซ็นต์ พอๆ กับไฮเนเก้น, ไทเกอร์ หรือช้างดราฟต์ ราคาแก้วละ 1 ดอลล่าร์ (ซีฟู้ดสดๆ มื้อนี้ คิดเป็นเงินเขมรกี่เรียล ให้เอา 100 คูณ เพราะ 100 เรียล เท่ากับ 1 บาท)
ในวันถัดมาเราก็ยังคงตระเวน (ด้วยมอเตอร์ไซค์เหมือนเดิม) ไปถ่ายภาพตามหาดต่างๆ รวมทั้งโรงแรมหรูๆ มีมากมายในเมืองนี้ และส่วนมากจะตั้งอยู่บนจุดชมวิวทั้งสิ้น
กลับถึงที่พักด้วยความอ่อนเพลียจากแดดที่แรงในยามบ่ายเจ้าหน้าที่ของบริษัททัวน์ที่ติดต่อไว้ตั้งแต่วันแรกก็มารออยู่ก่อนแล้ว เขามาแจ้งว่าพรุ่งนี้คลื่นลมน่าจะไม่แรงนักเหมาะที่จะเดินทางไปเที่ยวยังเกาะ Bamboo ( ตอนแรกผมกังวลเรื่องเมาคลื่นอยู่พอสมควรเพราะต้องนั่งเรือหลายชั่วโมงเพื่อแวะตามเกาะต่างๆด้วยตามโปรแกรมที่จัดไว้ ) ผมตกลงร่วมทางกับเขาในวันรุ่งขึ้นโดยรถของ
เขาจะแวะมารับในช่วงเช้าไปทานอาหารที่บริเวณท่าเรือพร้อมรับฟังบรรยายเกี่ยวกับจุดท่องเที่ยวต่างๆ ทริปนี้มีผู้ร่วมเดินทางราวยี่สิบคนเราพบว่าการเดินทางเป็นคณะแบบนี้ต้องทำเวลาให้ทันกับโปรแกรมที่วางไว้ ( เราถูกมองค้อนหลายครั้งเมื่อมาขึ้นเรือช้าเพราะมัวแต่หามุมถ่ายภาพ )
ผมจึงลองคุยกับผู้จัดการบริษัททัวร์หลังจากกลับเข้าฝั่ง ว่าต้องการเช่าแบบเหมา เพื่อแวะถ่ายภาพโดยไม่ต้องใช้เรือหรูแบบท่องเที่ยวก็ได้ ขอเพียงแต่ให้ทางบริษัทแนะนำให้ เพื่อความมั่นใจก็พอ เราจึงออกทะเลรอบสองในวันรุ่งขึ้น (ความจริงวันแรกมีฝนเล็กน้อยและท้องฟ้าก็ยังไม่สวยเท่าใดนัก) กับเรือหาปลาขนาดกลาง คนขับชื่อ “ม็อค“ เป็นคนน่ารักแม้ใช้ภาษาอังกฤษไม่คล่อง แต่มีความใจเย็นอดทนกับพวกบ้าถ่ายภาพอย่างเราสองคนได้
ระหว่างที่เราเดินเก็บภาพบนเกาะ Bamboo ที่ธรรมชาติยังสมบูรณ์เหลือเกิน ม็อคก็จัดการเตรียมอาหารกลางวันบนชายหาดเป็นเมนูปลาย่างกับเตาถ่าน ที่เขาแวะยืมเพื่อนชาวเรือระหว่างทางมายังเกาะ และเลือกปลาตัวเขื่องที่ขังไว้ใต้ท้องเรือมาย่างให้พวกเรากิน ท่าทีเชิญชวนของเขายังติดตรึงในความรู้สึกของผมอยู่จนวันนี้
ชายผิวกร้านแดดใบหน้ายับยู่ยี่ และคงเป็นศัตรูกับครีมบำรุงผิวทุกยี่ห้อในโลกนี้ เผยรอยยิ้มจริงใจพร้อมหยิบยื่นไมตรีให้เพื่อนร่วมโลก มันไม่ใช่หน้าที่ในข้อตกลงว่าจ้าง (เราเตรียมอาหารกลางวันมาพร้อม เพื่อความสะดวกในการทำงาน) ผมรู้สึกผิดที่บางครั้งออกอาการหงุดหงิดใส่เขาบ้าง เมื่อสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง เมื่อต้องการให้พาเรือเข้าไปตามมุมต่างๆ ที่จะถ่ายภาพ
จำได้ว่าในใจผมเวลานั้น มีแต่เสียงเพลงเก่าที่โด่งดังในอดีตอย่างสุรชัยสามช่า กับท่อนที่ร้องว่า “เพื่อนฉันขแมร์รักจริงไม่แพ้ลาวญวน“ ลอยล่องวนเวียนอยู่ ผมจบงานถ่ายภาพที่สีหนุวิลล์ด้วยการขึ้นไปกราบพระนอนองค์ในวัดบนเขา ไม่ไกลจากชายหาดเท่าใดนัก และด้วยความอ่อนด้อยในภาษาเขมร จึงไม่ทราบว่าวัดนี้มีชื่อว่าอะไร รู้เพียงว่าเป็นวัดที่ชาวบ้านแถบนี้ในความเลื่อมใสศรัทธาอย่างมาก
รูปลักษณ์ของดอกสาละ ต้นไม้ที่เกี่ยวข้องกับพุทธชาดกก็ดูสวยงามแปลกตายิ่ง เมื่อแผ่ร่มเงาอยู่บริเวณองค์พระยิ่งทำให้รู้สึกสบายใจ สายลมเย็นจากทะเลพัดผ่านมาเป็นครั้งคราว ช่วยสร้างความสดชื่น แต่ที่มากกว่านั้นน่าจะเป็นความประทับใจ ในเมืองที่ธรรมชาติและหัวใจของผู้คนยังสวยงาม อย่างสีหนุวิลล์...นั่นเอง
หมายเหตุ : ปัจจุบันค่าที่พักและบริการอาจมีการเปลี่ยนแปลงจากที่กล่าวไว้ในบทความ โปรดเช็คข้อมูล ณ ปัจจุบันก่อนออกเดินทาง